วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Elizabeth Báthory


Countess Elizabeth Báthory de Ecsed (Báthory Erzsébet in Hungarian, Alžbeta Bátoriová in Slovak; 7 August 1560 – 21 August 1614) was a countess from the renowned Báthory family of nobility in the Kingdom of Hungary. She has been labeled the most prolific female serial killer in history, although the number of murders is debated, and is remembered as the "Blood Countess."
After her husband Ferenc Nádasdy's death, she and four collaborators were accused of torturing and killing hundreds of girls, with one witness attributing to them over 650 victims, though the number for which they were convicted was 80.Elizabeth herself was neither tried nor convicted. In 1610, she was imprisoned in the Csejte Castle, now in Slovakia and known as Čachtice, where she remained bricked in a set of rooms until her death four years later.
Later writings[citation needed] about the case have led to legendary accounts of the Countess bathing in the blood of virgins[citation needed] to retain her youth and subsequently also to comparisons with Vlad III the Impaler of Wallachia, on whom the fictional Count Dracula is partly based, and to modern nicknames of the Blood Countess and Countess Dracula.

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าของพระจันทร์

นานมาแล้ว..สมัยที่โลกยังมีพระจันทร์ 2 ดวง 
มีดวงจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิง กับอีกดวงหนึ่งเป็นผู้ชาย 
และดวงจันทร์ทั้งสองดวงนี้ ต่างก็รักกันมาก 
ดวงจันทร์ทั้งสองไม่เคยแยกห่างจากกัน… 
..ทุกๆ คืนเมื่อมองไปบนฟ้า 
จะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่ อยู่เคียงข้างกันเสมอ.. 
แต่แล้ววันหนึ่ง ....
ดวงจันทร์ผู้หญิงได้ไปพบกับดวงอาทิตย์ 
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงหลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ 
จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไปทีละน้อย ทีละน้อย .......... 
....และก็แยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งในที่สุด... 
เมื่อค่ำคืนมาถึง.. 
จึงมีดวงจันทร์ผู้ชายเหลืออยู่ เพียงดวงเดียว ... 
ส่วนดวงจันทร์ผู้ชายก็ได้แต่ตามหา 
ดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนทุกแห่ง 
คืนแล้วคืนเล่า วันเวลาล่วงผ่านไป 
แต่ดวงจันทร์ผู้ชายก็ไม่สามารถหาดวงจันทร์ผู้หญิงได้พบ.. 
..... 
ด้วยความคิดถึง และอยากพบดวงจันทร์ผู้หญิงให้เร็วที่สุด 
ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า 
\"หากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้ คงไม่ได้เจอแน่ๆ\" 
จึงตัดสินใจ.. ระเบิดตัวเอง เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไปทั่วทั้ง จักรวาล เพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้น 
ออกตามหาดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งนั้น... 
..... เมื่อเวลาผ่านไป 
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิง ได้เห็นถึงความจริงว่า.. 
แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้า สวยงามสักปานใด 
แต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้า แต่เพียงเธอเท่านั้น 
ยังส่องแสงไปยังดาวดวงอื่นๆ อีกมากมาย 
ดวงจันทร์ผู้หญิงจึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง... 
.... แต่หาเท่าไรก็หาดวงจันทร์ผู้ชายไม่พบ 
ต่อมาจึงได้รู้ว่า ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเอง เพียงเพื่อตามหา ตน จนกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงรู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอ กับดวงจันทร์ผู้ชาย อีกต่อไปแล้ว จึงได้แต่โศกเศร้า และเสียใจ .... 
แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่ดวงจันทร์ผู้ชาย 
มีต่อดวงจันทร์ ผู้หญิง ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสง ที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตน ส่งให้ถึงดวงจันทร์ผู้หญิง 
เกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้า เคียงข้างดวงจันทร์ จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาว ให้เราเห็นจนถึงทุกวันนี้ .... 
หากเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน 
วันไหนที่เห็นจันทร์สวยสด วันนั้น คุณก็จะไม่เห็นดาวดวงเล็กดวงน้อยส่องแสง 
หรือ วันใดคุณเห็นดาวเปล่งประกายเต็มฟ้ามืด 
วันนั้น คุณก็จะไม่พบดวงจันทร์.... 
.....เขาและเธอ ไม่อาจพบกันตลอดกาล..... 

จริงหรือ? "ผีดูดเลือด" กลัว กระเทียม!!!

เรื่องผีฝรั่ง โดยเฉพาะแวร์ไพร์ ที่ว่ากันว่ากลัวกระเทียมนั้น เห็นจะไม่เกี่ยวข้องกับการที่ฝรั่งไม่ชอบกินกระเทียมมั้งความเชื่อนี้เกิดขึ้นเมื่อกาฬโรคแพร่ระบาด คร่าชีวิตผู้คนไปทั่วทั้งทวีปยุโรปในช่วงยุคมืด (the Dark Ages) คนยุโรปไม่สามารถหาคำอธิบายสาเหตุของโรคอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงพากันกล่าวโทษอำนาจชั่วร้ายในรูปของผีดูดเลือด หรือแวมไพร์ (vampires) ว่าเป็นตัวการ

กาฬโรคจู่โจมเหยื่อของมันโดยไม่เลือกว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ดูเหมือนว่ามีแต่พ่อค้ากระเทียมเท่านั้นที่รอดพ้นจากเงื้อมมือมรณะของมันได้ ในหมู่พ่อค้าที่ขนกระเทียมไปเร่ขายตามเมืองต่าง ๆ แทบไม่มีคนใดติดโรคร้ายนี้เลย ผู้คนทั่วไปจึงสรุปว่ากระเทียมต้องมีสรรพคุณวิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ เลยพากันรับประทานกระเทียมเป็นการใหญ่ อีกทั้งยังแขวนพวงกระเทียมไว้รอบคอด้วย บรรดาชาวอาณานิคมในนิวอิงแลนด์ (อเมริกา) ยิ่งล้ำหน้ากว่าชาวยุโรป พวกเขาสวมพวงกระเทียมไว้รอบเท้าเพื่อป้องกันภัยกล้ำกรายจากโรคฝีดาษด้วย

ผู้คนในสมัยนั้นยังไม่ทราบเลยว่ากาฬโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur)มาค้นพบในปี ค.ศ. ๑๘๕๘ ว่ากระเทียม (Allium sativum) มีน้ำมันซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรียและป้องกันการติดเชื้อ เรียกว่า แอลลิซิน (allicin) เป็นไปได้ว่าการที่พวกพ่อค้ากระเทียมต้องสัมผัสใกล้ชิดกับสมุนไพรวิเศษนี้อยู่เสมอ มีผลให้เชื้อแบคทีเรียในร่างกายของพวกเขาถูกกำจัดออกไป และก็เป็นไปได้อีกเช่นกันว่ากลิ่นฉุนของกระเทียมกันชาวบ้านให้อยู่ห่าง ๆ จึงช่วยป้องกันโรคระบาดไม่ให้แพร่กระจายมาถึงตัวพ่อค้ากระเทียมได้ อย่างไรก็ตามความเชื่อว่ากระเทียมสามารถขับไล่ผีดูดเลือดได้นั้นยังเป็นข้อกังขาอยู่

ทุกวันนี้เรามีความรู้ด้านสุขอนามัยเพิ่มมากขึ้น แต่กระเทียมยังคงเป็นที่นิยมบริโภคเหมือนที่เป็นมาในอดีตกระนั้นก็ตามความนิยมสมุนไพรชนิดนี้ในสหรัฐอเมริกาเพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ไม่มีการปลูกกระเทียมเลยในประเทศนั้นจนเมื่อรัฐบาลต้องการกระเทียมแห้งจำนวนมหาศาลเพื่อส่งให้แก่ทหารในแนวรบเกษตรกรชาวอเมริกันจึงเริ่มปลูกกระเทียมกันอย่างจริงจังในปัจจุบันรัฐแคลิฟอร์เนียมีผลผลิตกระเทียมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา