วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย


สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ตั้งอยู่เลขที่ 35 ถนนเจริญกรุง 36 เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ข้างโรงแรมโอเรียนเต็ล แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
ฝ่ายการทูตและฝ่ายกงสุล
ฝ่ายความร่วมมือและวัฒนธรรม และแผนกวีซ่า ตั้งอยู่เลขที่ 29 ถนนสาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร
ฝ่ายเศรษฐกิจและการพาณิชย์ ตั้งอยู่ที่ชั้น 25 อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 1 ถนนพระราม 4 เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ที่สถานที่ปัจจุบันตั้งแต่ พ.ศ. 2400 เมื่อนายมองตันยี กงศุลฝรั่งเศส ได้เช่าพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณนี้ ขนาดประมาณ 4 ไร่ ต่อมาในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2418 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานที่ดินผืนนี้ให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศส และได้รับเอกสารกรรมสิทธิ์ ในปี พ.ศ. 2468 อาคารสถานทูตก่อสร้างโดยช่างชาวอิตาเลียน เป็นอาคารยกพื้นสูงมาก มีระเบียงด้านหน้า สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมอิตาเลียน
การคมนาคมติดต่อกับสถานทูต เดิมใช้ทางแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะในเหตุการณ์วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 พ.ศ. 2436 กองทัพฝรั่งเศสใช้เรือรบเดินทางเข้ามาเทียบท่าถึงบริเวณสถานทูต ต่อมาเมื่อมีการตัดถนนเจริญกรุง จึงทำทางเข้าทางถนนอีกทางหนึ่ง
อาคารสถานทูตได้รับการซ่อมแซมระหว่างปี พ.ศ. 25022511 และได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยาม เมื่อ พ.ศ. 2527
ไทยและฝรั่งเศสมีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีคณะผู้แทนของรัฐบาลฝรั่งเศสเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี ต่อมามีคณะกงสุลประจำ ต่อมาในปี พ.ศ. 2430 ได้เปลี่ยนสถานภาพเป็นคณะผู้แทนทางการทูตซึ่งไม่มีเอกอัครราชทูตเป็นผู้นำ (légation) มีการแต่งตั้งเอกอัครราชทูต มาประจำประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2492
เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยคนปัจจุบันคือ นายโลรองต์ โอแบล็ง เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2546

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

9อันดับอาชีพที่ทำเงิน

9 อันดับอาชีพทำเงินสูงสุดในปี 2010 จากการที่เศรษฐกิจของจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าการเติบโตของจีนนั้นย่อมส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้มีการต้องการแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษเพื่อรองรับการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจนี้ จากรายงานของ Shenzhen Special Zone Daily (ฉบับออนไลน์) ระบุว่า 9 อันดับอาชีพที่มีอัตราค่าจ้างสูงสุด มีดังนี้
1. นักแปล (Simultaneous Interpreter)ค่าจ้าง 300,000 หยวน /ปี (US$37,449) อาชีพนักแปลเรียกได้ว่าเป็นอาชีพที่มีความต้องการเป็นอับดับหนึ่ง อันเนื่องมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากของจีน รวมทั้งการจัดการโอลิมปิกที่ผ่านมาด้วย
2. วิศวกรโทรคมนาคม 3G (3G telecommunications Engineer)ค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 150,000 หยวน/ปี (US$18,724) ถึง 200,000 หยวน/ปี (US$24,966) ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าจะมีความต้องการแรงงานในสาขานี้ ถึง 500,000 ตำแหน่ง ในอนาคตอันใกล้
3. Online Media Talent (อาชีพในแขนงสื่อออนไลน์ เช่น เว็บดีไซน์เนอร์ กราฟิกดีไซน์เนอร์ โปรแกรมเมอร์ เกม อะนิเมเตอร์ ช่างภาพ นักเขียนภาพประกอบ)อัตราค่าจ้างรายเดือนอยู่ที่ 8,000 หยวน/เดือน (US$999) ถึง 10,000 หยวน /เดือน (US$1,248) สำหรับตำแหน่งในระดับกลาง
4. วิศวกรคอมพิวเตอร์ (Systems Integration Engineer)อาชีพนี้เท่าที่ทราบก็เรียกได้ว่า "นอนมา" อัตราค่าจ้างประมาณ 100,000 ถึง 200,000 หยวน/ปี
5. นักคณิตศาตร์ประกันภัย (Actuary) ชื่อนี้อาจะฟังดูไม่คุ้นสำหรับคนทั่วไปนัก นักคณิตศาตร์ประกันภัยสามารถคาดหวังรายรับต่อปีอยู่ที่ 120,000 (US$14,979) ถึง 150,000 หยวน และมีการคาดการณ์ว่า อาชีพนี้จะเป็นอาชีพที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากตลาดการประกันชีวิต-ประกันภัยจะเติบโตอย่างสูงในประเทศจีน เฉพาะในปีนี้อัตราเงินเดือนสำหรับอาชีพนี้สูงกว่า 10,000 หยวน/เดือน (ทำความรู้จักกับอาชีพนักคณิตศาตร์ประกันภัย คลิกอ่านที่นี่)
6. นักบริหารงานขนส่งสินค้า (Logistics Specialist)ความต้องการอาชีพนี้ก็มากขึ้นไปตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีน อัตราค่าจ้างอยู่ที่ 70,000 (US$8,738) ถึง 100,000 หยวน/ปี
7. วิศวกรสิ่งแวดล้อม (Environmental Engineer)ขณะนี้ประเทศจีนขาดแคลนแรงงานในสาขานี้สูงถึง 420,000 คน ขณะที่ประเทศไทยวิศวกรสิ่งแวดล้อมนิยมผันตัวเองไปทำงานด้านอื่นกันเป็นจำนวนมาก อาชีพในสาขานี้ยังรวมไปถึง นักออกแบบจัดสวน และภูมิสถาปนิก มีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเดือน จะอยู่ที่ 7,000 ถึง 8,000 หยวน/เดือน
8. ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต Certified Public Accountant (CPA)เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่นอนมา ไม่ว่าเศรษฐกิจจะแปรผันไปในทิศทางใด ประเทศจีนมีความต้องการ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต 350,000 คน แต่ในปัจจุบันจีนมี ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่ได้รับใบอนุญาตแล้วเพียง 80,000 คน อัตราค่าจ้างรายปี อยู่ที่ 100,000 หยวน
9. ผู้ชำนาญการพิธีการศุลกากร (Customs Specialist) อัตราค่าจ้างอยู่ที่ 7,000 ถึง 8,000 หยวน/เดือนจากข้อมูลข้างบน ท่านผู้อ่านคงพอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมว่า แนวโน้มของอาชีพการงานในโลกปัจจุบัน และอนาคตจะเป็นไปในแนวทางใด ข้อมูลนี้ได้มาจากจีน แต่ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยได้เช่นกัน เพราะโลกทุกวันนี้ ไร้พรมแดน เชื่อมโยงกันหมดแล้ว

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความเชื่อเกี่ยวกับวันศุกร์ที่13


เริ่มจากความเชื่อของฝรั่งตาสีฟ้าทั้งหลาย โดยเฉพาะนิกายคาทอลิกที่เห็นว่า "เลข 13" เป็นเลขโชคร้าย ไม่ดีถ้าเป็นฤกษ์ยามจะทำกิจการต่างๆ ก็นับเป็นฤกษ์ยามที่ไม่ดีเอาเสียเลยฝรั่งถือว่าเลข 13 เป็นเลขอับโชค ยิ่งเป็น "ศุกร์ 13" ด้วยแล้วยิ่งมหาอับโชค (ฝรั่ง) หลายๆ คน จึงไม่ยอมออกจากบ้านไปไหน เพราะเกรงว่าจะประสบกับความโชคร้าย เช่น เกิดอุบัติเหตุ หรือมีอันเป็นไปต่างๆ นานา เป็นต้นแม้จะมีการแก้เคล็ดด้วยการเรียกเลข 13 เป็น "ลัคกี้นัมเบอร์" แต่ก็มิได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเลข 13 ของฝรั่งดูดีมีโชคขึ้น ยังคงสร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้คนที่เชื่อเรื่องโชคลาง ความน่ากลัวของ "ศุกร์ 13" มาเพิ่มขีดมากขึ้นเมื่อมีภาพยนตร์เรื่อง "ศุกร์ 13 ฝันหวาน" ออกมาหลอกหลอนผู้คน ไม่ว่าจะทำภาคไหนออกมาก็ยังคงขายดิบขายดีขายได้ความเชื่อเรื่องเลข 13 เริ่มแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วข้ามน้ำข้ามทะเลมาฝั่งเอเชีย และเอเชียอาค เนย์ ด้วยเหตุเพราะกระแสแห่งโลกาภิวัตน์ ส่งผลให้บางคนบางพวกในเมืองไทยพลอยเชื่อเรื่อง อาถรรพ์เลข 13 ไปด้วย ฉะนั้น บรรดาอาคารสำนักงานและโรงแรมจำนวนมากที่ก่อสร้างเป็นอาคารสูง และมีจำนวนชั้นมากกว่า 12 ชั้นขึ้นไปจะไม่มีชั้น 13 เป็นการเว้นไว้และเรียกชื่ออื่นแทน เช่น อาคารเอ็มบีเค ทาวเวอร์ ที่ก่อสร้างขึ้นเมื่อ 26 ปีก่อน เป็นอาคารสำนักงานสูง 20 ชั้น แต่ไม่มีชั้นที่ 13 โดยผู้สร้างเปลี่ยนเป็นเรียกชั้น 12 A แทนเช่นเดียวกับโรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ที่เป็นอาคารสูง 29 ชั้นก็ไม่มีชั้น 13 โดยมีชั้น 12 แล้วเป็น ชั้น 14 เลย เว้นเลข 13 ไว้เหตุผลประการหนึ่งเพราะโรงแรมต้องรองรับลูกค้าซึ่งส่วนมากเป็นลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะฝรั่งตำนานของอาถรรพ์เลข 13 นั้น เชื่อกันว่า อาถรรพ์เลข 13 มีความเชื่อมโยงกับ "เดอะ ลาสต์ ซัพเปอร์" เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลที่มีคน 13 คนร่วมรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็น "วันศุกร์"แต่ก็มีอีกหลายตำรา บ้างก็ว่ามาจากความเชื่อและตำนานของ "ชาวนอร์ส" ในดินแดนสแกนดิเนเวียที่เกี่ยวกับ "เทพ 12 องค์" มารวมกันจัดงานเลี้ยงในห้องโถงของเอกีร์ เทพแห่งมหาสมุทร แล้วเทพแห่งไฟที่ชื่อ "โลกิ" ซึ่งไม่ได้รับเชิญมาร่วมงานจึงพังประตูรั้วเข้ามาร่วมงานในฐานะแขกคนที่ 13 และให้ "เทพฮอด" ซึ่งเป็นเทพแห่งความมืดมิดเพราะตาบอด โยนกิ่งของพืชกาฝากใส่ "บาลเดอร์" เทพแห่งความสุขและความยินดี จนบาลเดอร์สิ้นลมหายใจไปในทันที ทำให้โลกต้องตกอยู่ในความมืดมิดและความเศร้าสลดนิทานของชาวสแกนดิเนเวียยังมีเวอร์ชั่นอื่นอีก รวมถึงมีผู้แย้งว่าในบทกวีของโลกาเซนนา ที่เป็นภาษานอร์สโบราณได้กล่าวถึงชื่อของเทพทั้ง 17 องค์ที่ไปร่วมในงานเลี้ยง โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นเทพโลกิเป็นผู้พังประตูรั้วเข้าไปจริง แต่กลับไม่ใช่คนที่ 13 และก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจุดจบของเทพบาลเดอร์อีกด้วยเพราะฉะนั้น ความเชื่อที่เก่าแก่ว่าด้วยอาถรรพ์เลข 13 จึงนิยมที่จะอ้างอิงเรื่องของเดอะ ลาสต์ ซัพเปอร์ มากที่สุด กระทั่งมีการบันทึกไว้เมื่อศตวรรษที่ 18 ว่า.. เชื่อกันว่าเมื่อใดก็ตามที่มีคน 13 คนมานั่งร่วมรับประทานอาหารในโต๊ะเดียวกัน คนที่ลุกจากโต๊ะไปเป็นคนแรกจะเป็นคนแรกที่ต้องตายสำหรับเหตุผลที่เจาะจงว่าจะต้องเป็น "วันศุกร์" นั้น นอกจากกรณีที่ว่าพระเยซูถูกนำไปตรึงกางเขนในวันศุกร์แล้ว ในตำราของฝรั่งยังว่า "วันศุกร์" เป็นวันที่ใช้ประหารนักโทษ ทั้งยังถือว่าเป็นวัน "ทิป ทอด เดย์" (Tip Tod Day) หมายความว่าเป็น "วันปีศาจ" ชาวประมงในสมัยก่อนจึงไม่ออกทะเลในวันศุกร์ความเชื่อแต่โบร่ำโบราณของฝรั่งยังห้าม "ไม่ให้ตัดเล็บในวันศุกร์" เพราะแม่มดจะมาขโมยเล็บเอาไปเสกให้เจ้าของเล็บกลายเป็นแม่มดรวมทั้งเชื่อว่าเมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาใหม่ๆ วันที่อีฟและอดัมละเมิดคำสั่งพระเจ้า กัดกินผลไม้ต้องห้ามในสวนอีเดนนั้นเป็น "วันศุกร์"และวันที่ทั้งสองถูกพระเจ้าลงโทษให้ลงมาชดใช้โทษที่โลกมนุษย์ก็เป็น "วันศุกร์" อีกเช่นกันเหตุฉะนี้เมื่อ "ศุกร์ 13" มาเยือน (ฝรั่ง) หลายๆ คนจึงปริวิตกหวาดผวาจนขึ้นสมอง กลายเป็น "โรคกลัววันศุกร์ที่ 13" ซึ่งมีชื่อเรียกยาวๆ ว่า "พาราสเคฟดิคาเทรียโฟเบีย" (paraskevidekatriaphobia) หรือโรค "ฟริกกาทริสไคเดคาโฟเบีย" (friggatriskaidekaphobia) มีการศึกษาประเมินกันว่า คนอเมริกันเป็นโรคพาราสเคฟดิคาเทรียโฟเบีย ถึง 21 ล้านคน หรือประมาณ 8% ของอเมริกันชนที่ยังอยู่ในความเชื่อเรื่องนี้อย่าหัวเราะเยาะว่า โรคกลัววันศุกร์ที่ 13 เป็นเรื่องเล่นๆเพราะมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อย่างแน่นอน เรื่องนี้มีสถิติเกิดขึ้นแล้ว ที่ศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันบำบัดอาการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเริกา ประเมิน ว่า..ในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐ อเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงินถึง 800-900 ล้านเหรียญสหรัฐ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงานและเมื่อเปิดดูสถิติอุบัติเหตุในเรื่องจาก "ศุกร์ 13" ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก เมื่อผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน บริติช เมดิคัล เจอร์นัล เมื่อปี ค.ศ.1993 เรื่อง "Is Friday the 13th Bad for Your Health?" ศึกษาความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 กับพฤติกรรมและสุขภาพ โดยเปรียบเทียบวันศุกร์ที่ 6 กับวันศุกร์ที่ 13 พบว่าอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวันศุกร์ที่ 13 มีมากกว่าวันศุกร์ที่ 6 อย่างเห็นได้ชัด และในขณะที่น้อยคนเลือกที่จะขับรถออกจากบ้านในวันศุกร์ 13 แต่ตัวเลขคนที่ประสบอุบัติเหตุกลับมากกว่าวันศุกร์อื่นๆ ถึง 52%กลับมาที่ประเทศไทย เรื่องของ "ศุกร์ 13" จะเป็นอาถรรพ์แบบฝรั่งหรือไม่คงต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาของแต่ละบุคคล อาจมีบางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อ เหมือนกับเรื่องของโชคลางอื่นๆ เรื่องของโชคชะตา เรื่องของดวง ฮวงจุ้ย ว่าแต่ว่า..ศุกร์นี้ 13 กุมภา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเดินทางออกจากบ้าน!!!"วันไหนๆก็ดีทั้งนั้น"อาจารย์หนู กันภัยเจ้าสำนักสักยันต์อาจารย์หนู"สำหรับคนไทยแล้ว จริงๆ ดีทุกวัน แต่คนเราอาจจะคิดไปกันเอง อาจจะตรงข้ามกับชาวต่างชาติ ตราบใดเรายังหายใจอยู่เราถือว่าเป็นวันมงคลทุกวัน ยกตัวอย่างคนจีนบอกว่าเลข 4 ไม่ดี เป็นเลขตาย ส่วนเลข 8 เลข 9 ดี แต่เห็นคนที่เขาประสบความสำเร็จประกอบกิจการต่างๆ รุ่งเรืองร่ำรวย รถเขายังออกด้วยเลข 4 เลยไม่เข้าใจว่ามีการถือกันยังไงกันแน่......ทางโหราศาสตร์เลข 13 ถือเป็นเลขมหาอุดได้ แล้วแต่ฤกษ์ที่จะคิดค้นขึ้นมาหรือฤกษ์ปลุกเสกขึ้นมา หรือจะเป็นด้านมืด "อาคมอุต" ก็ได้ (1+3 เท่ากับ 4 ทางจีนว่าไม่ดี) ตัวเลขก็เป็นเพียงตัวเลข ถ้าในตำราของไทยจริงๆ ยันต์ บางทีก็มีหมด ทั้ง 12 13 14 มีหมด ซึ่งเป็นหัวใจของพระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ ไม่มีตัวไหนที่ไม่เป็นมงคล ถือเป็นมงคลทั้งหมด หรืออย่างวันพุธที่หลายคนบอกว่าเป็น "วันหัวกุดท้ายเน่า" แต่อาจารย์กลับคิดว่าเป็นวันมงคล เป็นวันราหู จริงๆ คนเขาจะคิดไปเอง บางตำราก็จะเเยกแตกแขนงกันออกไป บางครั้งก็ถือหลายลัทธิ สำหรับอาถรรพ์เลข 13 ถ้าคนไทยที่เป็นหนอนหนังสือ ชอบอ่านหนังสือหน่อยก็อาจจะถือตามเมืองนอก แต่ถ้าคนที่เขาเล่นวิชาอาคมจริงๆ อย่างเช่นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เขาถือว่าเป็นวันมงคล..... คือ เลข 13 เป็นมหาอุด-อุดสิ่งที่ชั่วร้ายต่างๆ ตามตำราไทยเป็นมงคล คือไม่รับรู้ลิ้น ปาก จมูก หู กาย ใจ หมายถึงปิดทวารทั้ง 9 อุดหูไม่ให้ได้ยิน ปิดตาไม่ให้เห็นในสิ่งที่ไม่ดี ฯลฯ คือจะอุดสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เข้ามาหาตัวเรา""ศุกร์ 13 เป็นความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น"อดิศร ยุทธโยธินผู้ช่วยเจ้าอธิการคริสตจักรพลับพลา ประชานิเวศน์ 1"ธรรมดาแล้วในคัมภีร์ไบเบิลไม่มีการกล่าวถึงเรื่องศุกร์ 13 น่าจะเป็นความเชื่อของแต่ละท้องถิ่นหรือแต่ละประเทศมากกว่า ที่นำเรื่องเชื่อมโยงกันกับเรื่องของพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนแต่วันที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนนั้น ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงว่าเป็นวันที่ 13 จริงๆ แล้ว เพียงแต่ว่าตรงกับวันศุกร์เท่านั้น และในวันนี้ชาวคริสต์ก็เชื่อว่าวันนี้เป็นวันดี ที่เรียกกันว่า Good Friday เพราะเป็นวันที่พระเจ้าเสียสละชีวิตเพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ และหลังจากถูกฝังไม่นาน พระองค์ก็ฟื้นขึ้นมาจากความตาย...ความเชื่อเรื่องอดัมกับอีฟ ที่ว่าทั้งคู่แอบกินลูกแอปเปิ้ลในสวนของเทพอีเดน จนทำให้ถูกขับไล่ออกจากสวน และอีฟได้เสียชีวิต ในไบเบิลก็ไม่ได้มีการบัญญัติไว้ว่าเป็นวันศุกร์ หรือเรื่องเดอะ ลาสทต์ ซัพเปอร์ (The Last Supper) อาหารมื้อสุดท้ายก่อนพระเยซูจะถูกตรึงไม้กางเขน ที่มีคนร่วมโต๊ะทั้งหมด 13 คน จนคิดว่าเป็นตัวเลขที่โชคร้าย ความจริงแล้วเป็นวันที่พระเยซูเรียกสาวกมาอธิบายว่าต่อไปภายหน้าเมื่อพระองค์ไม่อยู่แล้ว ให้ยึดถือว่าตัวขนมปังเป็นดั่งตัวแทนของพระองค์ และไวน์องุ่นเปรียบเสมือนเลือดของพระองค์ที่หลั่งรินออกจากร่างกาย ไม่ได้เกี่ยวกับความโชคดีหรือโชคร้ายแต่อย่างใด..ในคัมภีร์ไบเบิลสอนว่า ไม่ได้บอกให้เราเชื่อเรื่องวันหรืออะไร เพราะทุกวันก็คือวันดี เราอธิษฐานมอบให้พระเจ้ามันก็จะเป็นวันดี พระเจ้าบอกว่าถ้าเราเชื่ออะไร ก็จะเป็นไปตามนั้นถ้าเราปล่อยให้สิ่งที่เราเชื่อมามีอำนาจเหนือเรา.."

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของจมูกข้าวสาลี


ประโยชน์ของจมูกข้าวสาลี
คือ เป็นแหล่งโปรตีน ข้าวสาลีต้นใหม่จะงอกได้ก็ต้องอาศัยโปรตีนจากจมูกข้าวสาลีนี่แหละ อุดมด้วยวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ จะช่วยชะลอความชรา ป้องกันโรคเสื่อมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ป้องกันอัมพาต อุดมด้วยสารเส้นใย ช่วยในการขับถ่าย รักษาสุขภาพลำไส้ใหญ่ และป้องกันมะเร็งลำไส้ มีเกลือแร่เซเลเนียม ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการของวัยหมดประจำเดือน จึงเหมาะมากสำหรับผู้หญิงวัยกลางคน มีสังกะสีมาก ซึ่งจำเป็นสำหรับผู้ชาย เพราะหากผู้ชายคนไหนขาดสังกะสีจะทำให้ต่อมลูกหมากโต จมูกข้าวสาลีจึงป้องกันโรคของต่อมลูกหมาก และป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้ วันนี้จะแนะนำให้กินจมูกข้าวสาลี ว่าเอามาทำอะไร กินได้บ้างนอกจากเอามาโรยข้าว แต่ที่สำคัญกว่าจะต้องเลือกจมูกข้าวสาลีที่ใหม่ ไม่มีกลิ่นหืน เพราะความหืนที่ว่ามาจากน้ำมันในจมูกข้าวสาลีถูกออกซิไดซ์ โดยทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ จะทำให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพมากกว่า

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

โบท็อกซ์(Botox)

โบท็อกซ์ คืออะไร?

"โบท็อกซ์" (Botox) เป็นชื่อทางการค้า (trade name) ของสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีน ชนิดหนึ่ง ที่สร้างจาก แบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษแก่มนุษย์ หากได้รับในปริมาณมากๆ เช่น จากอาหารกระป๋องที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อตัวนี้ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จากการที่กล้ามเนื้อกระบังลมไม่ทำงาน ผู้ป่วยจึงหยุดหายใจ โบทูลินั่ม ท็อกซิน ออกฤทธิ์ อย่างไร? โบทูลินั่ม ท็อกซิน ออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อจึงคลายตัว หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ เกิด อัมพาตของกล้ามเนื้อเล็กๆนั้น โดยจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วัน และเห็นผลสูงสุดในเวลาประมาณ 7– 14 วัน แล้วแพทย์เอา "สารพิษ" นี้มาใช้ทำไม? แพทย์ทราบมานานหลายสิบปีแล้วว่าหากฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อในปริมาณน้อยๆ โบทูลินั่ม ท็อกซินจะทำให้กล้ามเนื้อ "คลายตัว" ดังนั้นในยุคแรกๆ จักษุแพทย์จึงนำโบทูลินั่ม ท็อกซิน มาฉีดรักษาโรคตาเหล่ ตาเข และโดยบังเอิญจากการฉีดรักษาในบริเวณรอบดวงตานี้เอง ก็ทำให้แพทย์พบว่าริ้วรอยบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากหว่างคิ้วและรอบดวงตาดีขึ้นด้วย ในยุคต่อมาจึงมีการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน เพื่อประโยชน์ในด้านความสวยงามตามมาอย่างแพร่หลาย และมีเทคนิควิธีการที่ต่างๆ กันออกไป มีการนำมาฉีดเพื่อทำให้หน้าเรียวลง ยกกระชับผิวหนัง ลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ตลอดจนรักษาอาการปวดศีรษะ ปวดเกร็งต้นคอ และอีกหลายกรณี ในประเทศสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวมีการฉีดกันเป็น ล้านๆครั้ง ต่อปี ผลของการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน อยู่นานเท่าใด? โดยทั่วไปผลของการฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 3-8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นกับว่าฉีดรักษาอาการอะไร ฉีดบริเวณใด ฉีดเป็นครั้งแรกหรือเป็นการฉีดซ้ำ ผู้รับการรักษาอายุเท่าใด ซึ่งการที่ผลการรักษาอยู่ไม่ถาวรนั้น ที่จริงอาจนับได้ว่าเป็นข้อดี เพราะหากผลที่ได้รับไม่เป็นที่น่าพอใจ ในที่สุดก็จะค่อยๆ หายไปเองได้ ข้อเสียก็คือสิ้นเปลือง เพราะหากได้ผลดี ถูกใจก็ต้องฉีดซ้ำเรื่อยๆ โบท็อกซ์ อันตรายหรือไม่ จากการรวบรวมผู้ป่วยที่ได้รับการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน จำนวนมาก ในต่างประเทศ พบว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิต เมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญและใช้ฉีดเพื่อความสวยงาม ผลข้างเคียงส่วนมากที่เกิดขึ้นมักเป็นแบบเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก กลืนอาหารลำบาก หน้าไม่สมมาตร หรือจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเกิดได้แม้ในมือผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นแพทย์ และผู้ทำการรักษาจึงควรคุยกันโดยละเอียดก่อนการฉีดทุกครั้ง เมื่อเกิดผลข้างเคียงแล้วจะทำอย่างไร? ดังที่ได้กล่าวแล้วตอนต้นว่าผลจากการฉีด โบทูลินั่มท็อกซิน นั้นจะค่อยๆ หมดไปเองภายในเวลาเป็นเดือน ดังนั้นผู้รับการรักษาจึงใจเย็นๆ และค่อยๆ รอให้ผลของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน หมดไปเองก็ได้ ส่วนในกรณีที่เกิดหนังตาตกนั้น ผู้รับการรักษาควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาเป็นกรณีไป

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

น้ำเสาวรส(Passion fruit)


เขาบอกว่า ...เสาวรส (Passion fruit) หรือที่เราเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า กะทกรกฝรั่ง เป็นไม้ผล เนื้อในหรือรกที่หุ้มเมล็ดของผลเสาวรส ใช้รับประทานสดได้ โดยผ่าผลแล้วเติมน้ำตาลทรายเพียงเล็กน้อยก็สามารถรับประทานได้ทั้งเมล็ดเลย หรือจะนำไปทำเป็นแยมผลไม้ก็ได้ เปลือกและเนื้อส่วนนอก สามารถนำไปหมักทำเป็นอาหารสัตว์และปุ๋ยหมักได้ น้ำคั้นจากเนื้อซึ่งส่วนนี้มีกลิ่นหอมและ มีกรดมาก ใช้ผสมเป็นเครื่องดื่ม หรือใช้ผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่น เช่น น้ำแอปเปิ้ล น้ำส้ม น้ำสัปปะรด น้ำพีช เป็นต้น โดยอัตราการผสมน้ำเสาวรส ประมาณ 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติที่ดี ซึ่งเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ เพราะนอกจากทำให้เครื่องดื่มมีกลิ่นและรสชาติที่ดีขึ้นแล้ว ยังมีคุณค่าทางอาหารสูงอีกด้วย และน้ำเสาวรสยังสามารถนำไปใช้แต่งกลิ่นและรสชาติของไอศกรีม ขนมเค้ก เยลลี่ เชอร์เบท พาย ลูกกวาด และไวน์ ส่วนผสม- เสาวรสสุก 2-3 ผล- น้ำต้มสุก 2 ถ้วย- น้ำเชื่อม 1/2 ถ้วย - เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะวิธีทำ1. นำผลเสาวรสสุกล้างให้สะอาด 2. ผ่า 2 ซีกและใช้ช้อนเอาเมล็ดและส่วนที่เป็นน้ำสีส้มออกให้หมดจากเนื้อผล3. เติมน้ำสุกและคั้นกรองด้วยกระชอนกับ ผ้าขาวบาง เพื่อแยกเอาเมล็ดและเส้นใยออก4. เติมน้ำเชื่อม เกลือป่น ชิมรสตามชอบสูตร 2นำเสาวรสสดล้างให้สะอาดผ่าครึ่งและควักใส่ในพร้อมเมล็ด ปั่นให้ละเอียดแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง นำน้ำตาลต้มกับน้ำ ใส่เกลือนิดหน่อย ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำเสาวรสลงผสมคนให้เข้ากัน แล้วบรรจุขวด ปิดผนึก อัตราส่วนเสาวรส 1 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม น้ำ 1.5 ลิตร เกลือครึ่งช้อนชา

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อันตรายของน้ำอัดลม


การดื่มน้ำอัดลมประเภท "โคลา" มากเกินไป ก่อให้เกิดความผิดปกติที่กล้ามเนื้อ จากสถิติพบว่า มีผู้ที่ชอบดื่มโคลามากกว่า 2 ลิตรต่อวันเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันผู้ผลิตก็เพิ่มปริมาณเครื่องดื่มที่วางขายในท้องตลาดมากขึ้น
ดร.โมเซส อาลีซาฟ จากมหาวิทยาลัยไอโอนนินา ประเทศกรีซ ผู้ศึกษา กล่าวว่า "โรคที่พบนั้นมีทั้งฟันผุ เบาหวาน กระดูกบาง กล้ามเนื้อและจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ ทั้งยังมีโรค "ไฮโปคาลีเมีย" หรือระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำเกินไป"
ดร.อาลีซาฟยกตัวอย่างถึงกรณีผู้ป่วยหญิงอายุ 21 ปีและกำลังตั้งครรภ์ มาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เธอมีอาการอ่อนเพลีย ไม่อยากกินอาหาร อาเจียน จากการสอบถามพบว่า ผู้ป่วยดื่มโคลาวันละ 3 ลิตรทุกๆ วัน เป็นเวลานาน 6 ปีแล้ว และพบโรค "ไฮโปคาลีเมีย" ด้วย สำหรับการรักษาทำโดยงดดื่มโคลาและให้รับประทานโพแทสเซียม ไม่นานผู้ป่วยกลับมีสุขภาพแข็งแรงดี
ในเคสอื่นที่ผู้ป่วยดื่มโคลาวันละ 2-9 ลิตร พบว่า ผู้ป่วยมีกล้ามเนื้อผิดปกติไปจนถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์ถาวร
ดร.อาลีซาฟกล่าวต่อไปว่า "ปัจจุบันในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มมีการขายเครื่องดื่มแก้วใหญ่ ขวดใหญ่มากขึ้น เราควรต้องจับตาดูเพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค"
ส่วนสาเหตุที่โคลาทำให้ปริมาณโพแทสเซียมในร่างกายลดลงยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ที่อาจเป็นไปได้คือ น้ำตาลในโคลาทำให้ไตขับโพแทสเซียมออกไปมากเกินไป อีกทฤษฎีหนึ่งคือ กาเฟอีนในโคลาเป็นตัวขับโพแทสเซียม และแม้จะเป็นน้ำอัดลมที่ไม่มีกาเฟอีน แต่ก็ทำให้เกิดโรค "ไฮโปคาลีเมีย" ได้เช่นกัน เพราะน้ำตาลฟรุกโตสในน้ำอัดลมทำให้ท้องเสียได้
ทั้งนี้ เมื่อพ.ศ.2550 จำนวนน้ำอัดลมทั่วโลกที่บริโภคกันสูงถึง 552,000 ล้านลิตร หรือ 82.5 ลิตรต่อคน และอีก 3 ปีข้างหน้าอุตสาหกรรมน้ำอัดลมตั้งเป้าไว้ที่ 95 ลิตรต่อคน

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Jasmine



มะลิลา เป็นไม้รอเลื้อย กิ่งอ่อนและกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนมีขน ใบเป็นใบเดียวออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ใบเป็นรูปไข่ขอบเรียบ ดอกออกเป็นช่อ มี 3 ดอก ดอกกลางบานก่อน กลีบดอกชั้นเดียว ปลายกลีบมน ดอกสีขาว มะลิชนิดนี้ จะใช้ในการเด็ดดอกขาย
มะลุลี ลักษณะต้น ใบ อื่น ๆ คล้ายมะลิลา แต่ใบใหญ่กว่าดอกออกเป็นช่อ มี 3 ดอก และดอกกลางบานก่อน เช่นกัน แต่มีดอกซ้อน 3-4 ชั้น ปลายกลีบมน
มะลิถอดลักษณะโดยทั่ว ๆ ไป ทั้งต้น ใบ การจัดเรียงของใบ รูปแบบของใบคล้ายมะลิลาซ้อน แต่ใบเป็นคลื่น ดอกเป็นช่อมี 3 ดอก ดอกซ้อนมากชั้นกว่า คือ 3-6 ชั้น ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ขนาดดอก 2.5-3.5 ซม.
มะลิซ้อนลักษณะทั่ว ๆ ไปคล้ายมะลิถอด และมะลิลาซ้อน แต่ใบมีลักษณะแคบกว่า ดอกออกเป็นช่อมี 3 ดอกเช่นกัน กลีบดอกซ้อน แต่ซ้อนกว่า 5 ชั้น แต่ละชั้นมีกลีบดอก 10 กลีบ ขึ้นไป ขนาดดอก 3-4 ซม. ดอกสีขาว กลิ่นหอมมาก
มะลิพิกุล หรือมะลิฉัตร ลักษณะต่าง ๆ คล้ายกับ 4 ชนิดแรก ใบคล้ายมะลิซ้อนและมีคลื่นเล็กน้อย ดอกเป็นช่อ 3 ดอก ดอกซ้อนเป็นชั้น ๆ เห็นได้ชัด (คล้ายฉัตร) และดอกมีขนาดเล็กพอ ๆ กับดอกพิกุล ขนาดดอก 1-1.4 ซม. ดอกสีขาว กลิ่นหอม
มะลิทะเล
มะลิพวง
มะลิเลื้อย

Jasmine from
Old French Jasmine which is from the Arabic from Persian yasmin, i.e. "gift from God", is a genus of shrubs and vines in the olive family (Oleaceae), with about 200 species, native to tropical and warm temperate regions of the Old World. Most species grow as climbers on other plants or are trained in gardens on chicken wire, trellis gates or fences, or made to scramble through shrubs of open texture. The leaves can be either evergreen (green all year round) or deciduous (falling in autumn). Timmy knows Jasmine.

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปราสาทนครวัด(Angkor wat)


นครวัด

ตั้งอยู่ที่เมืองเสียมราฐ (เสียมเรียบ) ในประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในพุทธศตวรรษที่ 16-17 เพื่อเป็นศาสนสถานประจำนครของพระองค์ เมื่อสมัยแรกนั้น นครวัดได้ถูกสร้างเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไวษณพนิกาย แต่ต่อมาในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้เปลี่ยนให้เป็นวัดในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ในปัจจุบันปราสาทนครวัดนับเป็นสิ่งก่อสร้างสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา และได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร
ปราสาทนครวัดได้เริ่มสร้างในกลางพุทธศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อบูชาแด่พระวิษณุหรือ พระนารายณ์ ในปี พ.ศ. 1720 ชาวจามได้บุกรุกขอม ทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองนครหลวง หรือ เสียมราฐ ในปัจจุบัน หลังจากนั้น พระองค์จึงสร้างเมืองนครธม และ ปราสาทบายน ห่างจากปราสาทนครวัดไปทางเหนือ เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของชาวขอม
ในปี ค.ศ. 1586 พ.ศ. 2129ได้มีนักบวชจากโปรตุเกส นามว่า อันโตนิโอ ดา มักดาเลนา เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ได้ไปเยือนปราสาทนครวัด แต่ที่จะถือว่าเป็นการเปิดประตูให้แก่ปราสาทนครวัดนั้น คือการค้นพบของ อองรี มูโอต์ นักสะสมแมลงและนักสำรวจชาวฝรั่งเศส เมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วมา
ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคสิ้นสุดของราชอาณาจักรขะแมร์โดยมีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
ขนาดและการก่อสร้าง

ปราสาทนครวัดมีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีกำแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร มีคูน้ำล้อมรอบตามแบบ มหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
ใช้หินรวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า 40,000 เชือก และแรงงานคนนับแสนขนหินและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลน ชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร มาสร้าง
ปราสาทนครวัด มีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ใช้ช่างแกะสลัก 5,000 คน และใช้เวลาถึง 40 ปี
หอสูง 60 กว่าเมตรศูนย์กลางของกลุ่มปราสาท อันเปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาลนั้น มีทางเดินขึ้นที่ชันมาก ราว 50 องศา แต่ก็กลับเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยจะต้องปีนขึ้นไปและไต่ลงมา ที่จุดบนสุดของหอนี้จะมองเห็นวิวที่สวยสุดของปราสาทนครวัด

รูปสลักและงานประติมากรรม

ทางด้านกำแพงชั้นนอกรอบปราสาทนั้น มีความยาวกว่า 800 เมตร มีงานแกะสลักเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่อง รามายณะ รูปแกะสลักที่มีชื่อที่สุดก็คือรูปที่เทวดากับอสูรกวนเกษียรสมุทรด้วยเขาพระสุเมรุ และยังมีรูปแกะสลักนางอัปสรอีกถึง 1,635 นาง ที่ทั้งหมดแต่งกายและทรงผมไม่ซ้ำกันเลย
มีภาพจำหลักหินด้านหนึ่งเป็นภาพกองทัพสยาม ที่ส่งไปช่วยรบกับพวกจามมีอักษรจารึกไว้ว่า “สยำ กุก” ปัจจุบันถูกเอาออกไปแล้วน่าจะหมายถึงกองทัพสยามจากลุ่มแม่น้ำกก คือกำลังที่มาจากเมืองเชียงราย เมืองเชียงแสนหรือจากสุพรรณบุรี และคำว่า “ โลว” สันนิษฐานว่าเป็นกองทัพจากเมืองละโว้

Angkor Wat (or Angkor Vat)

is a Hindu temple complex at Angkor, Cambodia, built for the king Suryavarman II in the early 12th century as his state temple and part of his capital city. As the best-preserved temple at the site, it is the only one to have remained a significant religious centre since its foundation — first Hindu, dedicated to the god Vishnu, then Buddhist. The temple is the epitome of the high classical style of Khmer architecture. It has become a symbol of Cambodia, appearing on its national flag, and it is the country's prime attraction for visitors.
Angkor Wat combines two basic plans of Khmer temple architecture: the temple mountain and the later galleried temple, based on early South Indian Hindu architecture, with key features such as the Jagati. It is designed to represent Mount Meru, home of the devas in Hindu mythology: within a moat and an outer wall 3.6 kilometres (2.2 mi) long are three rectangular galleries, each raised above the next. At the centre of the temple stands a quincunx of towers. Unlike most Angkorian temples, Angkor Wat is oriented to the west; scholars are divided as to the significance of this. The temple is admired for the grandeur and harmony of the architecture, its extensive bas-reliefs and for the numerous devatas (guardian spirits) adorning its walls.
The modern name, Angkor Wat, means "City Temple"; Angkor is a vernacular form of the word nokor which comes from the Sanskrit word nagara meaning capital or city. wat is the Khmer word for temple. Prior to this time the temple was known as Preah Pisnulok, after the posthumous title of its founder, Suryavarman II.

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของโกโก้


ดื่มโกโก้วันละแก้วสุขภาพดีนอกชาหรือไวน์แดงแล้ว โกโก้ก็อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ไม่แพ้กันค่ะผลการศึกษาชิ้นใหม่พบว่านอกจาก ชา หรือไวน์แดง ที่รู้กันดีว่ามีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคได้หลายโรค รวมถึงยังป้องกันผลกระทบจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ยังมีอาหารอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ "โกโก้" ที่มีคุณสมบัติมากกว่าเครื่องดื่มเสริมสุขภาพที่ว่ามาเสียอีกนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาศึกษาพบว่า โกโก้ร้อน 1 ถ้วยนั้นอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ชา หรือ ไวน์แดงทั้งนี้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลการศึกษาหลายชิ้นได้เน้นถึงคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพทีพบใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ โดยมีงานวิจัยในจีน ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วพบว่า คนที่ดื่มน้ำชาเป็นประจำนั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกว่าครึ่งหนึ่งปีที่แล้ว นักวิจัยในฝรั่งเศสรายงานว่า ดื่มไวน์แดงวันละแก้ว อาจช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคหัวใจ และในปี 1998 ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้ในการศึกษาล่าสุดนี้ ดร. ชาง ยง ลี และคณะ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ในนิวยอร์ก ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียวแม้ว่าโกโก้จะถูกนำไปทำเป็นอาหารหลายอย่างรวมทั้ง ช็อกโกแลต แต่นักวิจัยเผยว่าทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับคุณค่าสารอาหารอย่างเต็มที่ ก็คือการดื่มโกโก้ โดยตรง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในช็อกโกแลต 1 แท่งอุดมไปด้วยไขมัน โดยช็อกโกแลตแท่ง ขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น"แม้เรารู้ว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้นดีต่อสุขภาพของเรามาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าในแต่ละวัน เราต้องการสารนี้กันจำนวนเท่าใด" ดร. ลี กล่าว "แต่กระนั้น โกโก้ร้อน ถ้วยหรือ สองถ้วย ก็ช่วยในด้านของความอร่อย ดื่มแล้วก็ทำให้รู้สึกอุ่น และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจากสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ได้รับอีกด้วย"

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ดอกเบญจมาศ (Chrysanthemum)


แม้ว่าเบญจมาศ อาจจะเป็นดอกไม้ที่เราพบเห็นกันเสมอ
แต่น้อยคนจะรู้ว่า ดอกเบญจมาศ นั้น มีคุณค่าทางจิตใจ
ดอกเบญจมาศ เป็นตัวแทนของสิ่งดีๆ ตามตำนานของเอเซีย
และยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย ทำให้ดอกเบญจมาศนั้น
ได้รับความนิยมมายาวนาน เคียงคู่ภูมิปัญญาตะวันออก นั่นเอง
.....

ถิ่นกำเนิดดั้งเดิม ของ เบญจมาศ เชื่อว่าอยู่ใน ประเทศจีน
คนจีนเรียกดอกเบญจมาศ ว่า เก็กฮวย
ส่วนชาวญี่ปุ่นเรียกดอกเบญจมาศ ว่า คิกุโนะฮานะ
เป็นตัวแทนความรักความจริงใจและแสงสว่างแห่งความหวัง
คิกุโนะ เป็นชื่อของ หญิงสาวชาวญี่ปุ่น ตามตำนานที่เล่าสืบมา
หญิงสาวผู้นี้มีความรักให้กับสามีอย่างลึกซึ้ง
ต่อมา สามีเธอป่วย เธอจึงได้บรวงสรวงถามเทพเจ้า
ถึงระยะเวลาที่จะได้ครองคู่อยู่กับสามีของเธอ
ทันใดนั้น ก็เกิดนิมิตประหลาด บอกกับเธอว่า
หากเธอสามารถหาดอกไม้ที่มีจำนวนกลีบมากๆมาบูชาเทพเจ้า
ก็จะทำให้สามีของเธอ มีอายุยืนยาวเท่ากับจำนวนกลีบของดอกไม้นั้น
เธอจึงพยายามแสวงหาดอกไม้ที่มีกลีบมากที่สุด
แต่ก็ไม่มีดอกไหนเลยที่มีจำนวนกลีบมากเท่าที่เธอต้องการ
ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจเอาดอกไม้ที่มีกลีบมากที่สุด
มากรีดให้แต่ละกลีบเป็นฝอยยาว
จนกลายเป็นดอกไม้ที่มีกลีบนับไม่ถ้วน
เทพเจ้าเห็นความตั้งใจจริง ของ คิกุโนะ
จึงบันดาลให้สามีเธอหายป่วย และอยู่ครองคู่กับเธอไปชั่วกาลนาน
.....

ดอกเบญจมาศ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความดีงามอันเป็นมงคล
แม้แต่ตราจักรพรรดิญี่ปุ่น ก็เป็นรูปดอกเบญจมาศ 16 กลีบ
นอกจากนี้ เชื่อกันว่า เบญจมาศ มีสรรพคุณ เป็นยาอายุวัฒนะ
หากนำดอกเบญจมาศใส่ในถ้วยเหล้าสาเก
แล้วดื่มเหล้าสาเก ในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 (เดือนตุลาคม)
จะทำให้เราคงความหนุ่ม สาว ไว้ได้ตลอดกาลเลยทีเดียว
ด้วยความสวยงามโดดเด่น และมีตำนานที่น่าชื่นชม
ทำให้ดอกเบญจมาศได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก
ในอังกฤษ นั้น ดอกเบญจมาศ เป็นดอกไม้ประจำเดือน พฤศจิกายน
เบญจมาศ พันธ์ดอกสีขาว ขนาดเล็ก กลิ่นหอม
ที่นำมาตากแห้ง แล้วต้มน้ำร้อนดื่ม เรารู้จักกันดี คือ น้ำเก็กฮวย
มีสรรพคุณ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้อ่อนเพลีย
เป็นยาชูกำลัง และ บำรุงหัวใจ ได้เป็นอย่างดี
นี่แหละครับ ดอกเบญจมาศ ดอกไม้ที่สวยงามและสดใส
....
The chrysanthemum is the floral emblem of the imperial family of Japan. Known to have been cultivated in China as far back as the 1400s BCE, it first made its way to Japan sometime in the 900s, and was adopted as the emperor's official seal. Crown Prince Akihito assumed the Chrysanthemum Throne, the world's oldest monarchy, after the death of his father, Hirohito, on January 7, 1989. His position as the 125th Japanese monarch was formally accepted on this date in 1990.

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

10 วิธีทำให้หน้าใส ไร้สิว


10 วิธีทำให้หน้าใส ไร้สิวสำหรับคนที่หน้าไม่ใสหรือเป็นสิว ฟังทางนี้!! คุณกำลังประสบปัญหาเรื่องหน้าไม่ใสหรือสิวขึ้นใช่หรือไม่ ถ้าคุณเจอปัญหาเล่านี้มีทางแก้แล้ว เขาวิจัยกันมาแล้วกว่า 80 % 1.คุณจะต้องนอนไม่เกิน 4 ทุ่ม ให้นอนระหว่าง 3 - 3.30 ทุ่ม ข้อแรกสำคัญ2. ถ้าเป็นเพศชาย กรุณาอย่าชัก...บ่อยติดต่อกัน(ลองเว้นระยะซัก 1 อาทิตย์ แล้วดูผล) 3. ถ้าเป็นเพศหญิง ตอนประจำเดือนมาอย่าพยายามกินของมันและ อย่าให้ผมปิดหน้าเพราะเมื่อมีประจำ...ผมคุณจะไม่สะอาด แต่เค้าสำรวจแล้ว 4.อย่าล้างหน้าบ่อย ให้ล้างวันละ 2 ครั้ง มากสุด 3 เพราะจะทำให้หน้าคุณบางลง เมื่อหน้าคุณบางหน้าคุณจะอ่อนแอ แพ้ง่ายทำให้เป็นสิวได้ง่าย แต่มีบางคนเขาเถียงว่าถ้าไม่ล้างหน้า บ่อยๆจะทำให้หน้ามัน(สำหรับบางคนที่หน้ามันง่าย)แล้วสิวจะขึ้น มีวิธีแก้คือให้ใช้วิธีทาแป้งบ่อยๆหน้าคุณจะไม่มันแต่ถ้าคุณแพ้ แป้งละก็ให้ใช้ดินสอพองผสมกับน้ำมะนาวโบ๊ะหน้าไว้ เพื่อไม่ให้หน้ามัน5.ควรออกกำลังกายด้วยวันละ 1 คร้ง นานเท่าไหร่แล้วแต่แต่ขั้นต่ำ ไม่เกิน 30 นาที เมื่อคุณออกกำลังหายเสร็จ อย่าพึ่งล้างหน้าโดนเด็ดขาด ถ้าคุณล้าง หน้าเลยจะทำให้เกิดฝ้าขึ้นได้ เพราะหน้าคุณกำลังร้อนอยู่เจอน้ำเย็น จะทำให้ใบหน้าของคุณเสียได้และขึ้นฝ้า 6.ไม่ควรกินของมัน แต่สำหรับคนที่อดใจไม่ไหว มีวิธีแก้คับคุณกินน้ำตามเมื่อคุณกินของมันเสร็จกินมากๆจะช่วยได้7.กินน้ำเยอะๆ เยอะๆนี่ไม่ได้หมายความว่า 7-8 แก้ว กินเมื่อฉี่ พอฉี่เสร็จก็ดื่มน้ำอย่างน้อย ครึ่งแก้วตาม เสมอมันจะระบายของเสียออกจากร่างกายคุณและหน้าคุณจะใสไร้ สิว 8. พยายามอย่าให้หน้าคุณโดนแดดแรงๆมากๆจะทำให้สิวขึ้น 9.คุณควรจะแยกผ้าใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้าก็ส่วนผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ด ตัวก็ส่วนผ้าเช็ดตัว อย่างนี้เป็นต้น 10. อย่าพยายามให้หน้าคุณโดนฝุ่นผงเพราะจำทำให้คุณเป็นสิวหัว ช้างได้ 11.ทำตาม 10 ข้อข้างบนได้หน้าคุณจะใสและไร้สิว ****ถ้าคุณทำได้อยากที่โพสไปนี้อย่าน้อย 1 อาทิตย์คุณจะหน้าใส และสิวน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ****

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Egypt


อียิปต์โบราณ หรือ ไอยคุปต์ เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ำไนล์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอียิปต์ อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นประมาณ 3150 ปีก่อนคริตศักราชโดยการรวมอำนาจทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์องค์แรกแห่งอียิปต์ และมีการพัฒนาอารยธรรมเรื่อยมากว่า 3,000 ปี ประวัติของอียิปต์โบราณปรากฏขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือที่รู้จักกันว่า "ราชอาณาจักร" มีการแบ่งยุคสมัยของอียิปต์โบราณเป็นราชอาณาจักร ส่วนมากแบ่งตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง จนกระทั่งราชอาณาจักรสุดท้าย หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า "ราชอาณาจักรใหม่" อารยธรรมอียิปต์อยู่ในช่วงที่มีการพัฒนาที่น้อยมาก และส่วนมากลดลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่อียิปต์พ่ายแพ้ต่อการทำสงครามจากอำนาจของชาติอื่น จนกระทั่งเมื่อ 31 ปีก่อนคริตศักราชก็เป็นการสิ้นสุดอารยธรรมอียิปต์โบราณลง เมื่อจักรวรรดิโรมันสามารถเอาชนะอียิปต์ และจัดอียิปต์เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งในจักรวรรดิโรมัน
อารยธรรมอียิปต์พัฒนาการมาจากสภาพของลุ่มแม่น้ำไนล์ การควบคุมระบบชลประทาน, การควบคุมการผลิตพืชผลทางการเกษตร พร้อมกับพัฒนาอารยธรรมทางสังคม และวัฒนธรรม พื้นที่ของอียิปต์นั้นล้อมรอบด้วยทะเลทรายเสมือนปราการป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอก นอกจากนี้ยังมีการทำเหมืองแร่ และอียิปต์ยังเป็นชนชาติแรกๆที่มีการพัฒนาการด้วยการเขียน ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ ,การบริหารอียิปต์เน้นไปทางสิ่งปลูกสร้าง และการเกษตรกรรม พร้อมกันนั้นก็มีการพัฒนาการทางทหารของอียิปต์ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ราชอาณาจักร โดยประชาชนจะให้ความเคารพกษัตริย์หรือฟาโรห์เสมือนหนึ่งเทพเจ้า ทำให้การบริหารราชการบ้านเมืองและการควบคุมอำนาจนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้เป็นเพียงแต่นักเกษตรกรรม และนักสร้างสรรค์อารยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นนักคิด, นักปรัชญา ได้มาซึ่งความรู้ในศาสตร์ต่างๆมากมายตลอดการพัฒนาอารยธรรมกว่า 3,000 ปี ทั้งในด้านคณิตศาสตร์, เทคนิคการสร้างพีระมิด, วัด, โอเบลิสก์, ตัวอักษร และเทคนิคโลยีด้านกระจก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาประสิทธิภาพทางด้านการแพทย์, ระบบชลประทานและการเกษตรกรรม อียิปต์ทิ้งมรดกสุดท้ายแก่อนุชนรุ่นหลังไว้คือศิลปะ และสถาปัตยกรรม ซึ่งถูกคัดลอกนำไปใช้ทั่วโลก อนุสรณ์สถานที่ต่างๆในอียิปต์ต่างดึงดูดนักท่องเที่ยว นักประพันธ์กว่าหลายศตวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันมีการค้นพบวัตถุใหม่ๆในอียิปต์มากมายซึ่งกำลังตรวจสอบถึงประวัติความเป็นมา เพื่อเป็นหลักฐานให้แก่อารยธรรมอียิปต์ และเป็นหลักฐานแก่อารยธรรมของโลกต่อไป
Ancient Egypt was an ancient civilization of eastern North Africa, concentrated along the lower reaches of the Nile River in what is now the modern country of Egypt. The civilization coalesced around 3150 BC with the political unification of Upper and Lower Egypt under the first pharaoh, and it developed over the next three millennia. Its history occurred in a series of stable Kingdoms, separated by periods of relative instability known as Intermediate Periods. Ancient Egypt reached its pinnacle during the New Kingdom, after which it entered a period of slow decline. Egypt was conquered by a succession of foreign powers in this late period, and the rule of the pharaohs officially ended in 31 BC when the early Roman Empire conquered Egypt and made it a province.
The success of ancient Egyptian civilization stemmed partly from its ability to adapt to the conditions of the Nile River Valley. The predictable flooding and controlled irrigation of the fertile valley produced surplus crops, which fueled social development and culture. With resources to spare, the administration sponsored mineral exploitation of the valley and surrounding desert regions, the early development of an independent writing system, the organization of collective construction and agricultural projects, trade with surrounding regions, and a military intended to defeat foreign enemies and assert Egyptian dominance. Motivating and organizing these activities was a bureaucracy of elite scribes, religious leaders, and administrators under the control of a pharaoh who ensured the cooperation and unity of the Egyptian people in the context of an elaborate system of religious beliefs.
The many achievements of the ancient Egyptians include the quarrying, surveying and construction techniques that facilitated the building of monumental pyramids, temples, and obelisks; a system of mathematics, a practical and effective system of medicine, irrigation systems and agricultural production techniques, the first known ships, Egyptian faience and glass technology, new forms of literature, and the earliest known peace treaty. Egypt left a lasting legacy. Its art and architecture were widely copied, and its antiquities carried off to far corners of the world. Its monumental ruins have inspired the imaginations of travellers and writers for centuries. A newfound respect for antiquities and excavations in the early modern period led to the scientific investigation of Egyptian civilization and a greater appreciation of its cultural legacy, for Egypt and the world.

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บล็อกใหม่ๆกับอะไรใหม่ๆ(New Blog)

เมื่อวาน เพิ่งสมัครบล็อกใหม่ ตามคำเเนะนำ(คำสั่ง)ของท่านอาจารย์เกรียงไกร 555
วันนี้ก็เลยมาอัพข้อมูล ถึงมันอาจจังยังไร้สาระอยู่บ้าง(ก็เพิ่งหัดทำ)
เเต่ก็จะมาเรียนรู้เเละศึกษาบ่อยๆ เพื่อพร้อมที่จะเป็นเว็บที่ดีสำหรับการศึกษาข้อมูล ใหม่ๆ